บ่อยครั้งในช่วงปลายปีที่อยากจะไปสัมผัสอากาศหนาวให้ชุ่มใจ เพราะอยู่เมืองกรุงจะหวังให้ความหนาวมาเยือนดูเป็นไปได้ยาก แค่รู้สึกเย็น ๆ ประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ไม่มีแล้ว และเมื่อคิดแบบนั้นมักจะนึกถึงสถานที่เที่ยวทางภาคเหนือ ซึ่งมีให้เลือกหลายแห่งแต่ละที่ล้วนน่าไปทั้งนั้น แต่ที่หมายตาเป็นอันดับแรกเลยที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ เพราะที่บริเวณดอยอ่างขางมีสถานที่เที่ยวหลายแห่ง โดยเฉพาะจุดชมวิวทะเลหมอก เรียกว่าไปที่เดียวได้เที่ยวคุ้ม
ในการเดินทางไปยังดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่นั้น ตั้งอยู่ที่ตำบลอ่างขาง อำเภอฝาง ห่างจากเขตแดนไทยพม่าเพียง 5 กิโลเมตร การเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ประมาณกิโลเมตรที่ 137 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านยางที่ตลาดแม่ข่า เข้าไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาที่โค้งคดเคี้ยว แต่ขณะเดียวกันสองข้างก็เต็มไปด้วยต้นนางพญาเสือโคร่งที่ออกดอกสีชมพูเบ่งบานให้ชื่นชมกันได้อย่างเต็มตา
ที่ดอยอ่างขาง จะมีลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ทำให้อากาศบนดอยหนาวเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ทำให้อากาศเย็นจัดจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง หรือที่เรียกว่าแม่คะนิ้ง ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะไปจึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวมาให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นเสื้อกันหนาวอย่างหนา ๆ สักหน่อย พร้อมกับหมวกไอ้โม่ง ถุงมือ และถุงเท้าด้วยยิ่งดี
ก่อนที่จะเดินทางไปยังดอยอ่างขาง ได้ค้นหาข้อมูลสถานที่เที่ยวต่าง ๆ บนดอย ซึ่งมีอยู่หลายแห่งให้เราได้ไปเยือน และเมื่อขึ้นไปถึงดอยอ่างขาง จุดแรกที่เราจะได้เจอก็คือ
" ฐานปฏิบัติการดอยอ่างขาง " ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่งของดอยอ่างขาง พร้อมเราสามารถพบเจอกับทะเลหมอกที่เป็นแพร่กระจายไปทั่ง โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว แต่ถ้าจะให้ชัวร์ไปแล้วได้เจอทะเลหมอกแน่ๆ ต้องช่วงปลายฝนต้นหนาว ประมาณเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน รับรองไปแล้วจะฟินไม่รู้ลืม
ถัดมาไม่ไกลเป็น
จุดชมวิวม่อนสน ที่มีชื่อเสียงมานานถึงความสวยงามที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาเที่ยวได้อย่างน่าทึ่ง เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ให้แสงสว่างยามเช้าที่สวยสดใส พร้อมกับยืนกอดอกชมท้องทะเลหมอกที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สร้างความตระการตาให้กับผู้ที่มาเที่ยวได้อย่างไม่รู้ลืม ผนวกกับอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้ว ทำให้ชีวิตที่เคยวุ่นวายลางเลือนหายไปทันที ขณะเดียวผู้คนที่มาต่างถ่ายรูปเก็บไว้ที่ระลึกในยามที่นึกถึง พร้อมกับเซลฟี่ไปกับทะเลหมอกที่อยู่เบื้องหลัง
และที่จุดชมวิวม่อนสนนี่ ยังเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมากางเต็นท์นอนกัน เพราะในช่วงหน้าหนาวเมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้าจะได้สัมผัสกับทะเลหมอกแบบใกล้ชิดที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า และชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า กับวิวพาโนราม่า 360 องศา ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่คุณหาไม่ได้กับชีวิตในเมือง โดยราคาเช่าเต็นท์แค่เพียง 225 บาท สำหรับเต็นท์ขนาด 3 คน หรือถ้ามีเต็นท์มาเองค่าเช่าพื้นที่แค่เพียงคนละ 30 บาทและมีห้องน้ำไว้บริการด้วย
จากนั้นก็มาที่
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง ซี่งจัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2512 เพื่อจัดทำโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ พืชน้ำมัน โดยมุ่งที่จะหาผลิตผลที่มีคุณค่าพอที่จะทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขา และทำการส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมแก่ชาวเขาในบริเวณใกล้เคียง
สำหรับพรรณไม้ที่ปลูกอยู่ภายในสถานีฯแห่งนี้มีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล เช่น บ๊วย ท้อ พลัม แอปเปิล สาลี่ พลับ กีวี องุ่น ราสป์เบอร์รี และกาแฟพันธุ์อาราบิกา พร้อมกับแปลงผักสด ๆ ที่มีให้ดูด้วย เช่น ซูกินี เบบีแครอต กระเทียมต้น หอมญี่ปุ่น ผักกาดฝรั่ง แรดิช เฟนเนล มันฝรั่ง ถั่วแดงหลวง และถั่วพันธุ์อื่นๆไม้รวมไปถึงดอกไม้นานาชนิด เช่น แกลดิโอลัส เยอบีราพันธุ์ยุโรป สแตติส ยิบโซฟิลลา คาร์เนชั่น อัลสโตรมีเรีย ลิลี ไอริส และแดฟโฟดิล
แต่ที่โดดเด่นเป็นที่ตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่มาเยือนต้องยกให้ดอกซากุระแท้ ที่รายล้อมอยู่ทั่วไปทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงญี่ปุ่น แต่ที่นี่มีให้เห็นไปทั่วเพราะปลูกเรียงรายตามข้างทางให้เราสามารถชื่นชมได้ตลอดจะเซลฟี่มุมไหนก็ดูดีไปหมด ยิ่งไปกับคู่รักบอกได้เลยว่าโรแมนติคซะไม่มี แค่คิดก็เพ้อแล้ว แต่นั้นยังไม่พอมีดอกนางพญาเสือโคร่งหรือที่เรียกว่า ซากุระเมืองไทย ให้ชมด้วยเช่นกัน
และนั้นทำให้หลายคนที่ไปมักจะเดินชมดอกซากุระกับดอกนางพญาเสือโคร่งไปพร้อม ๆ กัน แทนที่ขับรถไปรอบ ๆ ภายในสถานีฯ แต่ถ้าเดินจะทำให้เราจะสัมผัสได้อย่างเต็มที่มองเห็นความสวยงามของสีชมพูที่หวานสดชื่นอยู่สองข้างทาง หรือใครจะนั่งรถนำเที่ยวของโครงการหลวงที่ขับพาเที่ยวรอบสถานี ฯก็ได้
และเท่ามองดูจะเห็นว่าดอกซากุระแท้ของญี่ปุ่น ลำต้นจะเตี้ยกว่าดอกพญาเสือโคร่ง ทำให้เราสามารถเอื้อมมือถึง โดยดอกซากุระจะมีสีชมพูสดกว่าดอกนางพญาเสือโคร่ง และบางต้นกลีบดอกไม้ก็เริ่มร่วงลงสู่พื้นตัดกับหญ้าสีเขียวได้อย่างน่ามอง
ภายใน
สวนสมเด็จ จะรวบรวมพันธุ์ไม้ประเภทฝิ่น ใครไม่เคยเห็นดอกฝิ่นก็มาดูได้ที่นี่ พร้อมกับ ประดับ ดอกป๊อปปี้ และไม้เมืองหนาวชนิดต่างๆ โดยจะปลูกสลับหมุนเวียนพันธุ์ไม้ทุกปี ไม่ว่าจะเป็น กระดุมเงิน กระดุมทอง และปักษาสวรรค์ เป็นต้น โดยสามารถมาพักแบบรีสอร์ทสไตล์กระท่อมที่บ้านสวนสมเด็จ หรือจะนอนชมบรรยากาศด้วยการกางเต็นท์นอนก็เข้าท่าไปอีกแบบ
เช่นเดียวกับ
สวนแปดสิบ เป็นสวนกลางแจ้งจะอยู่ตรงข้ามบริเวณสโมสร ซึ่งตั้งชื่อตามอายุขององค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ในวาระที่ทรงมีอายุครบ 80 ชันษา และเมื่อเข้ามาเที่ยวในสวนแห่งนี้จะได้พบการตกแต่งสวนในสไตล์อังกฤษ ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับของเมืองหนาวหลากหลายนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น กะหล่ำประดับ เดซี ลินาเลีย และชบาอาบูติลอน ฯลฯ
และน่าจะถูกใจบรรรดาสาว ๆ ที่ไปด้วย เพราะรับรองว่าจะต้องเสียเวลาเพลิดเพลินอยู่ที่สวนแห่งนี้พอสมควรกับสีสันของดอกไม้ที่สวยงามละลานตาเต็มไปหมด และตรงกันข้ามสวนแปดสิบยังมีสวนกุหลาบอังกฤษให้ไปดอมดมอีกด้วย และอีกที่หนึ่งที่ใครมาแล้วต้องถ่ายภาพเก็บไว้ นั่นก็คือ
สวนบ๊วย โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวบ๊วยจะออกดอกเป็นสีขาวสวยมากเลย ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีขนาดไม่สูงแตกกิ่งก้านสาขาเต็มไปหมด และยังเป็นสถานที่ถ่ายละคร และภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง
และพลาดไม่ได้ถ้ามาที่สถานีฯแล้วต้องแวะไปที่
สวนบอนไซ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้เขตอบอุ่นและเขตหนาวทั้งในและต่างประเทศ ปลูก ดัด แต่ง โดยใช้เทคนิคบอนไซ ทำให้สัมผัสความสวยงามของรูปทรงบอนไซต่าง ๆ ได้อย่างใกล้ชิด และในบริเวณเดียวกันยังมีสวนสมุนไพร ฤดูท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม นอกจากนี้ในช่วงกลางคืนที่สโมสรอ่างขางยังให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ผลผลิตจากโครงการหลวงเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหาร พร้อมกับมุมน่ารัก ๆ ไว้ให้ถ่ายรูปด้วย
จากนั้นถ้าอยากไปดูความเป็นอยู่ชาวเขา ต้องไปที่
หมู่บ้านคุ้ม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานีฯ เป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีผู้อยู่อาศัยหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน อาทิชาวไทยใหญ่ ชาวพม่าและชาวจีนฮ่อ ซึ่งได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้และเปิดร้านค้าบริการแก่นักท่องเที่ยว
และอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือ
จุดชมวิวกิ่วลม อยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนถึงทางแยก ที่จะไปหมู่บ้านนอแลทางหนึ่ง กับบ้านขอบด้งทางหนึ่ง ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยงาม โดยเฉพาะในฤดูหนาว จะมีนักท่องเที่ยวมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและสัมผัสทะเลหมอกที่ลอยเวิ่งว้างอยู่ทั่วไปหมด หรือจะมาดูตอนพระอาทิตย์ตกก็อินไปอีกแบบ และถ้าสามารถมองทิวเขาได้รอบด้านและหากฟ้าเปิดจะมองเห็นสถานีเกษตรหลวงอ่างขางด้วย ทำให้เป็นจุดท่องเที่ยวที่คึกคักอีกแห่งหนึ่ง และยังมีร้านค้าขายอาหารเปิดให้บริการด้วย
ขณะเดียวกันที่
ไร่ชา 2000 จัดเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีทิวทัศน์น่ามอง เพราะที่นี่มีความงดงามในขณะที่พระอาทิตย์ขึ้นจะคลุกเคล้ากับสายหมอก พร้อมกับบรรยากาศของริ้วลายของแปลงชาที่ไล่ระดับลดหลั่นกันไป ยิ่งมองในมุมสูงแล้วสวยอย่าบอกใคร ซึ่งที่ไร่ชาสองพันนี่ จะอยู่อยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงบ้านนอแล จะไม่มีป้ายบอกเมื่อไปถึงในบริเวณนั้นให้สอบถามไปยังชาวบ้าน
และถ้ายังไม่เวลาก็พอจะไปต่อที่
หมู่บ้านนอแล ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า คนที่นี่เป็นชาวเขาเผ่าปะหล่องเชื้อสายพม่า แต่เดิมคนกลุ่มนี้อยู่ในพม่าและพึ่งอพยพมามีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง นับถือศาสนาพุทธ และที่หมู่บ้านนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์สวยงามของธรรมชาติบริเวณพรมแดนไทย-พม่า ยิ่งตอนเช้า ๆ วิวที่นี่จะสวยมาก สามารถถ่ายภาพได้ทั้งแสงเช้าและเย็น แต่จะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกดินจะเห็นแค่แสงแดดที่เฉียงมาเท่านั้น
และที่บ้านนอแลนี่ยังมี
ไร่สตรอเบอรี่ ซึ่งเป็นไร่สตรอเบอรี่แนวขั้นบันได โดยจะเริ่มให้ผลผลิตตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม ผลผลิตจะออกมามากสุดในช่วงเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ โดยผลิตทั้งหมดจะนำส่งให้โครงการหลวงเป็นผู้จัดจำหน่ายให้ ถ้าใครมาเที่ยวแนะนำว่าอย่าเด็ดผลผลิตมาแอบทานเพราะจะต้องนำส่งให้โครงการหลวง หากอยากจะทานผลสตรอเบอรี่สดใหม่ ขอแนะนำว่าให้ไปซื้อที่โครงการหลวงเท่านั้น
เช่นเดียวกับที่
หมู่บ้านขอบด้ง เป็นแหล่งอาศัยของชาวเขาเผ่ามูเซอดำและเผ่ามูเซอแดงที่มาอยู่ร่วมกัน คนที่นี่นับถือผี มีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวงในด้านการเกษตรและด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยเฉพาะกำไลที่ถักด้วยหญ้าไข่เหามีสีสันและลวดลายในแบบของมูเซอที่เรียกว่า อาบูแค
และที่บริเวณหน้าหมู่บ้านจะมีการจำลองบ้านกับวิถีชีวิตของชาวมูเซอ โดยมีเด็ก ๆ ที่เป็นมัคคุเทศก์น้อยคอยช่วยอธิบายวิถีชีวิตของพวกเขาให้กับผู้ที่มาเยือน และปิดท้ายด้วย หมู่บ้านหลวง ชาวหมู่บ้านหลวงเป็นชาวจีนยูนานที่อพยพมาจากประเทศจีนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก อาทิ ปลูกผักผลไม้ เช่น พลัม ลูกท้อ และสาลี่
เอาเป็นว่าถ้าใครมาเที่ยวที่ดอยอ่างขาง กลับไปแล้วต้องคิดถึงสถานที่แห่งนี้อีก เพราะที่นี่มีกิจกรรมท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นจุดชมวิวทะเลหมอก สวนดอกไม้เมืองหนาว และละลานตาด้วยดอกซากุระกับดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือจะเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ ขี่ล่อล่องไพร รวมถึงเพลิดเพลินกับการดูนก และชมวิถีชีวิตของชาวเขา โดยติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง โทร. 053-450-107 - 9 หรือ www.angkhangstation.com
Photo By เช้านี้ที่อ่างขาง